OKRs ต่างจาก KPI อย่างไร มาทำความเข้าใจกันได้ตรงนี้!

หลายคนคงได้ยินคำว่า OKRs มาสักพักใหญ่ แต่ก็ยังมีข้อสงสัยว่าจริงๆ แล้ว OKRs นั้นคืออะไร ทำแล้วจะช่วยองค์กรได้อย่างไร และมีความแตกต่างจาก KPI ที่เราใช้กันอยู่มากน้อยแค่ไหน จำเป็นต้องทำหรือไม่ เรามาไขข้อสงสัยนี้กันค่ะ

ที่มาของหลักการ OKRs

OKRs หรือ Objective and Key Results หากแปลตรงตัวโดยให้ความหมายเป็นภาษาไทย นั่นคือ “วัตถุประสงค์ และผลลัพธ์ต่างๆ ที่มีความสำคัญ” เป็นหลักการในตั้งเป้าหมายและสร้างปัจจัยเพื่อวัดผลของตำแหน่งงาน, หน่วยงาน และองค์กรให้บรรลุผลสำเร็จ มีต้นแนวคิดตั้งแต่ช่วงประมาณปี ค.ศ. 1970 โดย CEO ของบริษัทอินเทล (Intel) จากการเน้นแนวคิดแบบ Outcome Based Success และแนวคิดดังกล่าว ได้ถูกนำมาปรับใช้เมื่อปี ค.ศ. 1999 โดย John Doerr ที่ได้นำหลักการนี้เสนอต่อทีมผู้บริหารของบริษัทกูเกิล (Google) ต่อหลักการของ OKRs จนเป็นที่ยอมรับ และ OKRs ก็ได้เป็นที่รู้จักมากขึ้น หลังจากหนังสือเรื่อง “Measure What Matters : How Google, Bono, and the Gates Foundation Rock the World with OKRs” ได้ถูกตีพิมพ์ ทำให้องค์กรต่างๆ ได้นำมาปรับใช้กันเป็นที่แพร่หลาย โดยเฉพาะองค์กรใหญ่ๆ จนทำให้หนังสือดังกล่าวติดอันดับขายดีในนิวยอร์ค ไทม์ (New York Times Best Seller)

 

ลักษณะสำคัญและประโยชน์ของ OKRs

หลักการและประโยชน์ของ OKRs มีลักษณะสำคัญหลัก 8 ประการ คือ

  • เน้นการตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย มีการโฟกัสในกรอบที่ชัดเจน และจัดเรียงลำดับว่าเรื่องใดควรทำก่อน ทำหลัง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์กับงานนั้น ๆ
  • การกำหนด OKRs จะต้องตอบโจทย์การตั้งเป้าหมายในระยะยาว (Long term) คือในระยะเวลา 3-5 ปี โดยเน้นเป็น 2 รูปแบบคือ
    • รูปแบบแนวตั้ง (Vertical) เพื่อเน้นความเชื่อมโยงกันระหว่างบนลงล่าง และจากล่างขึ้นบน (Top Down& Bottom up)
    • รูปแบบแนวนอน (Horizontal) เพื่อให้ข้อมูลเปิดเผยได้ เกิดความโปร่งใส และช่วยให้เกิดการสื่อสารข้ามสายงาน กระตุ้นให้แต่ละฝ่ายเกิดการแลกเปลี่ยนความเห็นกันเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จไปด้วยกัน
  • สามารถติดตามผลงานแบบได้แบบเรียลไทม์ (Real time) หมายถึงต้องตรวจสอบได้ตลอดเวลาทั้งในแบบรายเดือนและแบบไตรมาส
  • การประเมินผลต้องมีลักษณะที่ไม่ผูกติดกับการประเมินที่มีผลกับเงินเดือน
  • มีความโปร่งใส ยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนได้อยู่ตลอดเวลา เน้นการคุยกันแบบเปิดใจและมีส่วนร่วมไปด้วยกันของพนักงานในทีม หรือองค์กร
  • ส่งเสริมให้พนักงานคิดอย่างสร้างสรรค์ เน้นสิ่งที่อาจไม่เคยทำมาก่อน ดึงศักยภาพของแต่ละบุคคลออกมาให้สามารถคิดนอกกรอบและวางกลยุทธ์เองได้ เพื่อช่วยสนับสนุนให้องค์กรบรรลุเป้าหมาย
  • ทำให้เกิดการลดช่องว่างระหว่างผู้บริหารและพนักงาน มีการอนุญาตให้ Feedback กันได้แบบ 360ºC เกิดการสนทนาและสื่อสารกันมากขึ้น พร้อมการกล่าวยกย่องชื่นชมให้กำลังใจกันภายในทีม
  • เกิดการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพราะ OKRs สามารถปรับให้มีความยืดหยุ่นได้ ทำให้พนักงานเกิดแรงขับเคลื่อนในทางบวก มีความภาคภูมิใจกับสิ่งที่ตนเองได้ตั้งเป้าหมาย และเมื่อสำเร็จ จะได้รับการยอมรับชื่นชมจากสิ่งที่พวกเขาได้ขับเคลื่อนด้วยตัวเขาเอง

 

ความต่างระหว่าง OKRs และ KPI นำไปปรับใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์

คำถามนี้ เป็นคำถามที่ถูกกันอย่างมากมายเพราะหลายคนมักจะคุ้นเคยกับ KPI มากกว่า จึงตั้งข้อสงสัยว่า OKRs นั้นต่างจาก KPI อย่างไรกันนะ และสามารถนำมันมาปรับใช้ร่วมกันให้เกิดประโยชน์ได้หรือไม่ แม้มันจะมีความคล้าย แต่มันก็มีความต่างกันอยู่พอสมควร เพราะฉะนั้นลองมาดูกันค่ะ

โดยปกติแล้ว KPI หรือ Key Performance Indicator มักเป็นตัวชี้วัดที่เกิดขึ้นจากองค์กรเป็นผู้กำหนดขึ้นมาเป็นหลัก และมีการเปลี่ยนแปลงไม่บ่อยครั้งนัก หรือไม่ยืดหยุ่นได้เหมือนกับ OKRs  ซึ่ง KPI มักจะกำหนดการประเมินเป็นตัวเลขและมีผลต่อเงินเดือนหรือสิ่งตอบแทนที่พนักงานจะได้รับ เน้นการกำหนดและบริหารแบบบนลงล่างเป็นหลัก ในขณะที่ OKRs เน้นการตั้งเป้าหมายแบบท้าทาย กระตุ้นให้เกิดความคิดใหม่ๆ เป็นหลัก เปลี่ยนแปลงได้ตามความต้องการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ส่วนบุคคล หรือของทีม เน้นการสื่อสารทั้งภายในทีมและฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการสื่อสารระหว่างผู้บริหารกับพนักงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กรไปด้วยกัน อีกทั้ง OKRs ยังไม่มีผลต่อรายได้หรือผลตอบแทนของพนักงานอีกด้วย

หากถามว่าเราจะสามารถเลือกใช้แค่อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือใช้ทั้ง 2 เครื่องมือในการวัดผลควบคู่กันไปได้หรือไม่ ความเห็นของผู้เขียนมองว่า หากองค์กรใดที่มีการควบคุม KPI ได้ดีอยู่แล้ว อาจไม่จำเป็นต้องใช้ OKRs เข้ามาเสริม หรือหากบางองค์กรมีความต้องการจะใช้ควบคู่กันไปก็สามารถทำได้เช่นกันค่ะ เพราะการดำเนินการไปคู่กันนั้น จะทำให้เกิดแรงกระตุ้นของพนักงานในองค์กร หรือจากทีมต่างๆ ให้ดำเนินการหรือขับเคลื่อนให้องค์กรบรรลุเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น สร้างความผูกพันกันในองค์กร แถมยังทำให้พนักงานมีความรู้สึกในเชิงบวกได้ดีขึ้นอีกด้วย เพราะเขาสามารถกำหนดตัวชี้วัดของเขาเองได้อย่างชัดเจน มีแรงผลักในการปฎิบัติงาน ช่วยให้เกิดการปรับปรุงอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

เพราะฉะนั้น เครื่องมือทั้ง 2 ตัว จึงมีประโยชน์ที่แตกต่างกัน การนำไปปรับใช้ไปด้วยกันจึงอาจจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ทั้งในเชิงความผูกพันของพนักงาน หรือการบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร แต่ไม่ว่าจะเป็น KPI หรือ OKRs ก็เป็นตัวช่วยในการวัดผล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหารขององค์กรทั้งคู่ ลองนำไปปรับใช้กันดูนะคะ